กลุ่มโรคสำคัญ > กลุ่มโรคพัฒนาการระบบประสาท (แบ่งตาม DSM-5)

โรคสมาธิสั้น (ADHD) ในเด็กวัยก่อนเรียน



โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder - ADHD) เป็นภาวะที่พบได้ตั้งแต่วัยเด็กเล็ก และอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ การเรียนรู้ และพฤติกรรมของเด็ก โดยเฉพาะในวัยก่อนเรียน (Preschool) ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะการควบคุมตนเอง



สาเหตุของโรคสมาธิสั้น

แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคสมาธิสั้น แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่:

• พันธุกรรม: หากพ่อแม่หรือพี่น้องมีประวัติเป็นโรคสมาธิสั้น เด็กก็มีโอกาสสูงขึ้นที่จะเป็น

• การทำงานของสมอง: ความผิดปกติของสารสื่อประสาท โดยเฉพาะโดปามีนและนอร์เอพิเนฟริน อาจส่งผลต่อความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม

• ปัจจัยก่อนคลอดและหลังคลอด: การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย หรือการสัมผัสสารพิษ (เช่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์) ระหว่างตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยง

• สิ่งแวดล้อม: การเลี้ยงดูที่มีสิ่งกระตุ้นมากเกินไป หรือขาดการสร้างวินัยที่เหมาะสม อาจทำให้อาการแสดงออกมาชัดขึ้น


ลักษณะอาการของโรคสมาธิสั้นในเด็กวัยก่อนเรียน

เด็กวัยก่อนเรียนที่มีภาวะสมาธิสั้นมักมีอาการที่สังเกตได้ใน 3 ด้านหลัก:

อาการขาดสมาธิ (Inattention)

• เล่นของเล่นไม่นาน เปลี่ยนกิจกรรมบ่อย

• ไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้จนจบ

• ดูเหมือนฟังไม่รู้เรื่องหรือไม่สนใจเวลามีคนพูด

• ทำของหายบ่อย เช่น ของเล่น ขวดน้ำ

อาการซน อยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)

• วิ่ง กระโดด ปีนป่ายตลอดเวลา แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ควรทำ

• นั่งนิ่งๆ ไม่ได้ ขยับตัวตลอด

• พูดมาก ชอบขัดจังหวะ

อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsivity)

• พูดแทรกหรือตอบก่อนที่คำถามจะจบ

• ไม่สามารถรอคิวหรือแบ่งปันของเล่นได้

• แสดงอารมณ์รุนแรง โกรธง่าย

ความแตกต่างของอาการโรคสมาธิสั้นในเด็กเล็ก (Preschool) และเด็กโต (School-age)

โรคสมาธิสั้น (ADHD) สามารถแสดงอาการแตกต่างกันตามช่วงวัย เนื่องจากพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงอายุมีความเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไป อาการในเด็กเล็กและเด็กโตมีลักษณะดังนี้

อาการของโรคสมาธิสั้นในเด็กเล็ก (วัยก่อนเรียน: 3-5 ปี)

เด็กในวัยนี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนาทักษะการควบคุมตนเอง ดังนั้นอาการสมาธิสั้นอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติของวัย แต่เด็กที่มีภาวะ ADHD จะมีอาการเด่นชัดและส่งผลต่อชีวิตประจำวันมากกว่าเด็กทั่วไป

ขาดสมาธิ (Inattention)

• เล่นของเล่นไม่นาน เปลี่ยนกิจกรรมบ่อย

• ไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้จนจบ

• สนใจสิ่งเร้ารอบตัวมากเกินไป เช่น หันไปดูเสียงรถข้างนอกทันทีแม้กำลังเล่นของเล่น

• ทำของหายบ่อย เช่น ขวดน้ำ ตุ๊กตา

• ดูเหมือนไม่ฟังเมื่อมีคนพูดด้วย

ซน อยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)

• วิ่ง ปีนป่าย กระโดดตลอดเวลา แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ควรทำ

• นั่งนิ่งๆ ไม่ได้ ต้องขยับตัวตลอด เช่น โยกตัว เขย่าขา

• ชอบเล่นแรง เช่น กระโดดชน ดึงของจากมือเพื่อน

• พูดไม่หยุด ถามซ้ำๆ แม้ได้รับคำตอบแล้ว

หุนหันพลันแล่น (Impulsivity)

• พูดแทรก ตอบก่อนที่คำถามจะจบ

• แสดงอารมณ์รุนแรง เช่น โกรธหรือร้องไห้เมื่อไม่ได้ดั่งใจ

• ไม่สามารถรอคิวหรือเล่นเป็นกลุ่มได้

• หยิบของจากมือเพื่อนโดยไม่ขออนุญาต

อาการในวัยนี้มักสังเกตได้ชัดเมื่อเด็กต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้สมาธิและการควบคุมพฤติกรรม เช่นโรงเรียนอนุบาล หรือกิจกรรมที่ต้องทำตามกฎกติกา

อาการของโรคสมาธิสั้นในเด็กโต (วัยเรียน: 6 ปีขึ้นไป)

เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน ความต้องการในการใช้สมาธิและการควบคุมพฤติกรรมสูงขึ้น เด็กที่มี ADHD อาจเริ่มเผชิญปัญหาในห้องเรียนและการเข้าสังคมมากขึ้น

ขาดสมาธิ (Inattention)

• ลืมทำการบ้าน ลืมนำอุปกรณ์มาเรียนบ่อยๆ

• วอกแวกง่าย เช่น หันไปคุยกับเพื่อนระหว่างเรียน

• อ่านหนังสือหรือทำงานได้นานๆ ไม่ได้ เบื่อง่าย

• ทำงานไม่เสร็จจนถึงขั้นต้องให้พ่อแม่หรือครูคอยกระตุ้น

• เข้าใจคำสั่งผิดพลาด เพราะไม่ได้ฟังจนจบ

ซน อยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)

• ขยับตัวตลอด เช่น เขย่าขา หมุนดินสอ เล่นปากกา

• ลุกเดินในห้องเรียนบ่อย แม้ในเวลาที่ต้องนั่ง

• ชอบเล่นเสียงดัง วิ่งเล่นเกินขอบเขตแม้ถูกเตือน

• คุยมาก ขัดจังหวะเพื่อนขณะทำกิจกรรม

หุนหันพลันแล่น (Impulsivity)

• พูดแทรกในชั้นเรียน ตอบคำถามโดยไม่รอครูเรียก

• ทำกิจกรรมโดยไม่คิด เช่น วิ่งออกจากห้องโดยไม่ขออนุญาต

• ทะเลาะกับเพื่อนเพราะรอไม่ไหว หรือเล่นไม่เป็นกติกา

• ไม่สามารถยับยั้งอารมณ์โกรธหรือความหงุดหงิดได้

ในวัยเรียน อาการ ADHD มักเริ่มส่งผลกระทบต่อผลการเรียน และความสัมพันธ์กับเพื่อน เด็กบางคนอาจมีความเครียดหรือขาดความมั่นใจในตนเองเพราะถูกตำหนิจากครูหรือเพื่อนๆ

สรุปความแตกต่างของอาการในแต่ละช่วงวัย



เด็กเล็กมักแสดงอาการทางร่างกาย เช่น วิ่ง กระโดด ซน ขณะที่เด็กโตอาจเริ่มมีปัญหาการเรียน ความสัมพันธ์ และการควบคุมอารมณ์


 


วิธีช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นสำหรับผู้ปกครอง

หากลูกมีภาวะสมาธิสั้น ผู้ปกครองสามารถช่วยเหลือได้โดย:

การจัดสภาพแวดล้อม

• จัดพื้นที่เล่นให้เป็นระเบียบ เพื่อลดสิ่งเร้ารบกวน

• ใช้ภาพหรือสัญลักษณ์ช่วยเตือนให้เด็กทำกิจกรรมตามลำดับ

• มีเวลาที่แน่นอนสำหรับการนอน การกิน และการเล่น

การสื่อสารและการสอนวินัย

• ใช้คำสั่งสั้นๆ ชัดเจน เช่น “เก็บของเล่นก่อน แล้วค่อยไปเล่นต่อ”

• ใช้วิธีชมเชยและให้รางวัลเมื่อเด็กทำได้ดี

• หลีกเลี่ยงการลงโทษที่รุนแรง เพราะอาจทำให้เด็กต่อต้านมากขึ้น

การจัดการพฤติกรรม

• ใช้ตารางกิจกรรมหรือภาพแผนงานช่วยให้เด็กทำกิจกรรมเป็นขั้นตอน

• ฝึกให้เด็กรอคอย โดยเริ่มจากระยะเวลาสั้นๆ แล้วค่อยเพิ่มขึ้น

• ใช้กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะสมาธิ เช่น ต่อเลโก้ วาดภาพ

การดูแลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ

• ปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยาเด็กเพื่อประเมินและวางแผนการช่วยเหลือ

• หากจำเป็น อาจต้องมีการบำบัดพฤติกรรม หรือฝึกทักษะทางสังคม

• ทำงานร่วมกับครูและผู้ดูแลเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับเด็ก

อาการที่ควรพาเด็กมาพบแพทย์

แม้ว่าความซนและสมาธิสั้นจะเป็นเรื่องปกติในวัยเด็ก แต่หากมีลักษณะเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์:

• อาการส่งผลต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก เช่น ทำให้เด็กเข้ากับเพื่อนไม่ได้ หรือเกิดปัญหาในครอบครัว

• พฤติกรรมขาดการควบคุมจนทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเองหรือผู้อื่น

• มีอาการเด่นชัดในหลายสถานการณ์ เช่น ที่บ้าน โรงเรียน หรือสนามเด็กเล่น

• มีพฤติกรรมที่ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการพูด การเรียนรู้ หรือการเข้าสังคม

หากพบว่าอาการของเด็กส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ควรพาไปพบแพทย์เพื่อประเมินและให้คำแนะนำในการช่วยเหลือที่เหมาะสม 



ผู้เขียน แพทย์หญิงสิริน เวคะวากยานนท์ นายแพทย์ชำนาญการ
Update : 27 มี.ค. 2568

 วันนี้ 1,300
 เมื่อวาน 2,017
 สัปดาห์นี้ 1,362
 สัปดาห์ก่อน 9,409
 เดือนนี้ 1,645
 เดือนก่อน 38,176
 จำนวนผู้เข้าชม 999,344
  Your IP : 3.15.139.249