กลุ่มอาการแองเจิลแมน (Angelman Syndrome)
1. เด็กกลุ่มอาการแองเจิลแมนมีความผิดปกติจำเพาะที่พบ ได้แก่ พัฒนาการล่าช้าหรือสติปัญญาบกพร่องอย่างมาก สามารถสังเกตได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน มักไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูด มีปัญหาการเดินและทรงตัว มีลักษณะนิสัยจำเพาะ ได้แก่ ยิ้มง่าย หัวเราะบ่อย ตื่นเต้นง่าย ชอบยกแขนและสะบัดมือเวลาตื่นเต้นหรือดีใจ และอยู่ไม่นิ่ง
2. เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการแสดงออกหรือการทำงานที่ผิดปกติของพันธุกรรมบริเวณแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 15 ที่ได้รับจากมารดา (บริเวณเดียวกับกลุ่มอาการพราเดอร์-วิลลี่)
3. โดยทั่วไปแล้วโอกาสเกิดซ้ำในบุตรคนถัดไปน้อยกว่าร้อยละ 1 แต่มีบางกรณีที่โอกาสเกิดซ้ำสูง จึงมีความจำเป็นที่เด็กต้องได้รับการตรวจพันธุกรรม เพื่อทราบกลไกการเกิดโรค
4. ยังไม่มีวิธีรักษาที่จำเพาะหรือทำให้หายขาด ดังนั้น การรักษา เน้นไปที่การดูแลรักษาตามความผิดปกติที่พบ เช่น การกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการ ทำกายภาพบำบัด การใช้ยาเพื่อควบคุมอาการชัก
กลุ่มอาการแองเจิลแมนคืออะไร
กลุ่มอาการแองเจิลแมนเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ความชุกของโรคประมาณ 1 ต่อ 12,000 ถึง 1 ต่อ 24,000 ทารกเกิดมีชีพ โดยทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของสมอง อาการของโรคแบ่งตามความบ่อยที่พบในผู้ป่วย ได้แก่
1.พบในผู้ป่วยทุกราย
○ พัฒนาการช้าหรือสติปัญญาบกพร่องซึ่งมักอยู่ในระดับรุนแรง โดยมักเริ่มสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน
○ มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว เช่น เดินเซ ขาสั่นเวลาเดิน เดินลำบาก ไม่มั่นคง
○ ยิ้ม หัวเราะบ่อย อารมณ์ดี ตื่นเต้นง่าย มักสะบัดมือ ยกแขนเวลาตื่นเต้น อยู่ไม่นิ่ง โดยมักสังเกตเห็นความผิดปกติหลังอายุ 1 ปี
○ มีปัญหาด้านการพูดสื่อสาร โดยมักจะไม่สามารถพูดสื่อสารหรือพูดเป็นคำเดี่ยว
2.พบในผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 80
○ มีการเจริญเติบโตของศีรษะจากการวัดเส้นรอบศีรษะน้อย มีศีรษะเล็ก สังเกตเห็นได้ก่อนอายุ 2 ปี โดยช่วงแรกคลอดมักมีขนาดเส้นรอบศีรษะอยู่ในเกณฑ์ปกติ
○ มีภาวะชัก ซึ่งมักมีอาการชักครั้งแรกก่อนอายุ 3 ปี
○ มีลักษณะคลื่นชักจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองที่จำเพาะกับโรค ซึ่งอาจตรวจพบก่อนมีอาการชัก
3.พบได้ร้อยละ 20-80
○ ลักษณะศีรษะด้านหลังแบน
○ ลิ้นคับปากหรือชอบแลบลิ้น มีปัญหาเรื่องการดูดกลืน
○ มีปัญหาเกี่ยวกับการกินหรือความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำในช่วงวัยทารก
○ คางยื่น ปากกว้าง หรือฟันห่าง น้ำลายไหลบ่อย ชอบเคี้ยวปาก
○ ตาเข
○ มีสีผิว/นัยตา/ผม อ่อนกว่าคนในครอบครัว
○ มีการตอบสนองของกล้ามเนื้อ (reflex) ไว
○ มีท่าทางยกแขน งอศอก กางขาเวลาเดิน
○ มีความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น นอนน้อย ตื่นบ่อย
○ มีพฤติกรรมการรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่ของกิน
○ ชอบเล่นน้ำหรือวัสดุที่เป็นคลื่น/มีรอยยับ เช่น กระดาษทิชชู่ หรือพลาสติกบางชนิด
○ กระดูกสันหลังคด
○ มีภาวะท้องผูก
○ ขี้ร้อน
○ มีภาวะอ้วนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่
เกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับการแสดงออกของยีนบริเวณแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 15 ซึ่งปกติจะมีการแสดงออกเฉพาะโครโมโซมที่ได้รับมาจากมารดา หรือเกิดจากความผิดปกติของยีน UBE3A ที่ได้รับมากจากมารดา โดยความผิดปกติที่ทำให้ยีนบริเวณดังกล่าวไม่แสดงออก ได้แก่
1.มีการขาดหายไปของชิ้นส่วนแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 15 บริเวณ 15q11.2-q13 (พบได้บ่อยที่สุด ประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วย)
2.ได้รับชิ้นส่วนแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 15 ทั้ง 2 ข้างมาจากบิดา ซึ่งไม่มีการแสดงออกของยีนบริเวณดังกล่าว
3.ความผิดปกติของบริเวณที่ควบคุมการแสดงออกของยีนบนแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 15 ทำให้ไม่มีการแสดงออกของยีนบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยแองเจิลแมนประมาณร้อยละ 10 ตรวจไม่พบความผิดปกติทางพันธุกรรมตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งอาจเกิดจาก
1.เป็นโรคอื่นที่มีอาการเหมือนกลุ่มอาการแองเจิลแมน
2.เกิดจากความผิดปกติในยีน UBE3A แต่ยังไม่มีการค้นพบในปัจจุบัน
3.เกิดจากกลไกการเกิดโรคที่นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของยีน UBE3A
สามารถให้การวินิจฉัยโดยใช้อาการที่พบในผู้ป่วยดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยสามารถวินิจฉัยได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการที่พบในผู้ป่วยทุกราย หรือพบความผิดปกติของพันธุกรรม โดยมีเทคนิคการตรวจหลายวิธี เช่น
1. การตรวจดูการแสดงออกของพันธุกรรมบริเวณแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 15 (Methylation-specific PCR) ซึ่งผู้ป่วยจะตรวจไม่พบการแสดงออกของพันธุกรรมบริเวณ 15q11.2-q13 ที่ได้รับมาจากมารดา
2. การตรวจหาการขาดหายไปของพันธุกรรมบริเวณแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 15 โดยใช้สารเรืองแสง (Fluorescence in situ hybridization analysis of 15q11.2-q13)
3. SNP microarray สามารถตรวจหาการขาดหายไปของพันธุกรรมบริเวณ 15q11.2-q13 และตรวจหาความผิดปกติกรณีผู้ป่วยได้รับโครโมโซมคู่ที่ 15 มาจากบิดาทั้ง 2 ข้าง (paternal uniparental disomy)
4. MS-MLPA สามารถตรวจหาการขาดหายไปของพันธุกรรมบริเวณ 15q11.2-q13
5. การตรวจหาความผิดปกติในยีน UBE3A โดยวิธี sequence analysis
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาความผิดปกติพันธุกรรมที่พบในโรคนี้ให้หายขาด การรักษาจึงเน้นการดูแล รักษา ฟื้นฟูความผิดปกติที่พบ ได้แก่
1. อาการรับประทานอาหารได้น้อยในช่วงทารกจากปัญหาการดูดกลืน อาจพิจารณาใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น จุกนมชนิดพิเศษ (Nuk nipple หรือ Haberman nipple) หรือวิธีช่วยในการรับประทานนมอื่นๆ
2. ให้การส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการในเด็กที่มีพัฒนาการช้า โดยแนะนำให้เริ่มฝึกกระตุ้นพัฒนาการให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
3. รักษาภาวะลมชักโดยการใช้ยากันชัก ซึ่งต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทในเด็ก
4. รักษาพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งโดยใช้การปรับพฤติกรรมร่วมกับให้ยาปรับพฤติกรรม และจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม (การรักษาโดยวิธีใดวิธีหนึ่งมักไม่ค่อยได้ผล)
5. ปรับสิ่งแวดล้อมในห้องนอนให้เงียบ สงบ เหมาะสำหรับการนอนหลับ เพื่อลดการตื่นกลางดึกของผู้ป่วย หากไม่ได้ผลอาจพิจารณาใช้ยานอนหลับตามความเห็นแพทย์
6. ทำกายภาพบำบัดในรายที่มีปัญหาการเคลื่อนไหวหรือไม่สามารถเดินได้
7. ตรวจประเมินสายตาและการมองเห็นโดยจักษุแพทย์เป็นระยะ
8. รักษาภาวะกรดไหลย้อนและท้องผูก ด้วยการปรับอาหารและพิจารณาให้ยากรณีอาการรุนแรงหรือปรับพฤติกรรมไม่ได้ผล
9. ตรวจประเมินภาวะกระดูกสันหลังคดเป็นระยะโดยการตรวจร่างกายและพิจารณาตรวจภาพรังสีกระดูกสันหลัง
1. กลุ่มอาการแองเจิลแมน มีความผิดปกติหลายระบบ จึงจำเป็นต้องได้รับการติดตามและดูแลอย่างต่อเนื่องโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อดูแลรักษาและป้องกันความผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจตามมา
2. โดยทั่วไปเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ โอกาสเกิดซ้ำในบุตรคนถัดไปน้อยกว่าร้อยละ 1 แต่มีบางกรณี เช่น ความผิดปกติจากการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนระหว่างโครโมโซม (translocation) หรือมีความผิดปกติในยีน UBE3A ที่ได้รับจากมารดา จะมีโอกาสเกิดซ้ำในครรภ์ถัดไปสูงสุดได้ถึงร้อยละ 50 ดังนั้นหากพบความผิดปกติลักษณะดังกล่าว แนะนำให้ปรึกษาสูติแพทย์ เพื่อเจาะน้ำคร่ำตรวจพันธุกรรมของทารกในครรภ์ (prenatal genetic testing) หรือพิจารณาตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (preimplantation genetic testing)
3. เนื่องจากผู้ป่วยทุกรายมีพัฒนาการช้า จึงจำเป็นต้องได้รับการประเมินและกระตุ้นพัฒนาการ โดยควรเริ่มให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใน 3 ขวบปีแรก ซึ่งจะทำให้แนวโน้มพัฒนาการดีกว่า ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการหลังอายุ 3 ปี
1. Dagli AI, Mathews J, Williams CA. Angelman Syndrome. 1998 Sep 15 [Updated 2021 Apr 22]. In: Adam MP, Feldman J, Mirzaa GM, et al., editors. GeneReviews® [Internet]. Seattle (WA): University of Washington, Seattle; 1993-2024.
2. Williams CA, Beaudet AL, Clayton-Smith J, Knoll JH, Kyllerman M, Laan LA, Magenis RE, Moncla A, Schinzel AA, Summers JA, Wagstaff J. Angelman syndrome 2005: updated consensus for diagnostic criteria. Am J Med Genet A. 2006;140:413–18. PubMed PMID: 16470747.
3. Bramswig NC, Buiting K, Bechtel N, Horsthemke B, Rostasy K, Wieczorek D. Angelman syndrome-affected individual with a numerically normal karyotype and isodisomic paternal uniparental disomy of chromosome 15 due to maternal Robertsonian translocation (14;15) by monosomy rescue. Cytogenet Genome Res. 2018;156:9–13. PubMed PMID: 30016768.
ผู้เขียน นพ. ธรรมกมล อัครธรรม
Update : 20 ก.ย. 2567