กรมสุขภาพจิต แนะพ่อแม่ยุคใหม่เร่งสร้าง “วัคซีนใจ” ให้ลูกยุคไซเบอร์ เป็นคนเก่ง ดี มีความสุข พึ่งพิงได้

วันที่ 24-30 เม.ย. 2561 เป็นสัปดาห์แห่งการรณรงค์การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก กรมสุขภาพจิตแนะพ่อแม่ยุคใหม่เร่งสร้างวัคซีนใจให้ลูก ให้เป็นเด็กที่สมบูรณ์พร้อมมีสุขภาพกายแข็งแรง เป็นคนเก่ง คนดี มีความสุข ด้วยการอัดฉีดความรัก   ความเอาใจใส่ ปลูกฝังและฝึกฝนด้วย 6 เมนูตั้งแต่แรกเกิดอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ขวบปีแรก เพื่อสร้างศักยภาพเด็กไทยรุ่นเจนแซดให้มีจิตใจมั่นคง เข้มแข็ง ปรับตัวได้ แก้ปัญหาเป็น อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี เป็นที่พึ่งพิงของพ่อแม่ได้

 นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่าองค์การอนามัยโลกกำหนดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนทุกปีเป็นสัปดาห์แห่งการรณรงค์การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก เพื่อลดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากโรคติดต่อ ในปีนี้ตรงกับวันที่ 24-30 เมษายน 2561 ในส่วนสุขภาพของจิตใจหรือโรคทางจิตเวชทั่วโลกยังไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันได้สำเร็จ ปัญหาที่เกิดมาจากการขาดวัคซีนใจ มักจะอยู่ในรูปของปัญหาสังคม ความรุนแรงต่างๆ จึงต้องเร่งสร้างวัคซีนชนิดนี้ให้เด็กไทยรุ่นใหม่ เพื่อให้เด็กมีจิตใจที่มั่นคง เข้มแข็ง สามารถฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคในชีวิตและอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ   ในสังคมได้อย่างดี หากเด็กได้รับทั้งวัคซีนป้องกันโรคทางกายและวัคซีนทางใจด้วย จะเติบโตเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อม คือมีทั้งสุขภาพกายดี เป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุข 

อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า วัคซีนใจได้มาจากการเลี้ยงดูเป็นหลัก เริ่มให้ตั้งแต่แรกเกิดและต้องให้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 5 ขวบแรกซึ่งเป็นวัยทองของชีวิตจะได้ผลดีที่สุด วัคซีนใจที่สำคัญและจำเป็นต้องให้มี 6 เมนูได้แก่

1.ใหัความรักดูแลเอาใจใส่ เด็กจะมีจิตใจมั่นคง มีอารมณ์สุขุมหนักแน่น 2.ให้ลูกมีโอกาสได้เล่นเพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่น ฝึกการยอมรับ เรียนรู้การเป็นผู้นำผู้ตามและนำมาใช้ในชีวิตจริง 3.ให้ลูกมีโอกาสช่วยเหลือตนเอง เด็กจะรู้จักคิด รู้จักทำ มีความรับผิดชอบรู้จักพึ่งพาตัวเอง 4.ฝึกนิสัยให้เด็กรู้จักการรอคอย อดทนและอดกลั้น เด็กจะควบคุมอารมณ์ได้ดี รู้วิธียับยั้งชั่งใจจากสิ่งที่มายั่วยุ เคารพกฎกติกาสังคม 5.เปิดโอกาสให้ลูกรู้จักปรับตัว เผชิญและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เด็กจะรู้จักแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ 6.ฝึกเด็กให้รู้จักการให้ การช่วยเหลือและการเข้าใจคนอื่น

ทางด้านแพทย์หญิงกุสุมาวดี คำเกลี้ยง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า การให้วัคซีนใจต้องให้ตามช่วงวัยที่กำหนดคือตั้งแต่แรกเกิดจนถึงก่อน 6 ขวบ หากให้ช้าเกินไป จะให้ผลดีไม่มากเท่าที่ควร วัคซีนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคือการให้ความรัก การดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิดตั้งแต่แรกเกิดและต่อเนื่องทุกช่วงวัย การให้วัคซีนใจมีหลักปฏิบัติ 4 ประการดังนี้ 1.ต้องให้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย 2.ให้อย่างถูกวิธีโดยพ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง ซึ่งลูกจะซึมซับทั้งคำพูดและการกระทำของพ่อแม่ตลอดเวลา การฝึกสอนที่ได้ผลดีที่สุดคือการทำให้ลูกเห็น เพื่อให้ลูกทำตาม 3.ให้อย่างได้ผลโดยใช้เทคนิคต่างๆหลากหลายเช่น ชื่นชมเมื่อเด็กทำได้ หรือโอบกอด ลูบศีรษะ หอมแก้ม ให้กำลังใจและปลอบใจเมื่อลูกทำไม่ได้ พูดคุยกับลูกบ่อยๆเมื่อลูกยังเล็กและรับฟังลูกให้มากเมื่อลูกโตขึ้น และ 4.ให้อย่างมีคุณค่า ถูกเวลา เหมาะสมกับวัย เช่น เปิดโอกาสให้ลูกช่วยเหลือตนเองเมื่อลูกเริ่มอยากทำอะไรด้วยตนเอง และต้องให้อย่างพอดี โดยไม่ปกป้องหรือตามใจลูกมากเกินไป จนทำให้ลูกไม่รู้จักโต เอาแต่ใจตัวเอง คอยพึ่งพาพ่อแม่

“เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองลงทุนให้วัคซีนใจลูกรุ่นเจนแซดไปแล้ว จะได้ผลคุ้มค่าในระยะยาวอย่างน้อย 3 เรื่องคือ 1.หายห่วงเพราะวัคซีนใจจะช่วยให้ลูกรู้จักทำอะไรด้วยตนเอง พึ่งพาตัวเอง ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ 2.ภาคภูมิใจ เพราะลูกเปรียบเสมือนตัวแทนของพ่อแม่ ถ้าลูกมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ สามารถทำอะไรได้ดี เป็นคนที่สังคมชื่นชม ก็เสมือนว่าพ่อแม่มีคุณสมบัตินั้นๆด้วยที่เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนั่นเองและ 3.ได้พึ่งพา ลูกที่ได้รับความรักอย่างคุ้มค่าเต็มอิ่ม จะผูกพันกับพ่อแม่ไม่เสื่อมคลาย ลูกที่ได้รับการเรียนรู้ให้เข้าใจจิตใจของคนอื่น จะเป็นผู้ให้ด้วยความเต็มใจ และลูกที่ได้รับการฝึกฝนให้ยืนหยัดด้วยตัวเอง จะเป็นหลักพักพิงให้กับพ่อแม่ได้แน่นอน ” แพทย์หญิงกุสุมาวดีกล่าว

                     ****************************                25เม.ย.2561

 

  View : 2.08K


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง


 วันนี้ 0
 เมื่อวาน 13
 สัปดาห์นี้ 62
 สัปดาห์ก่อน 97
 เดือนนี้ 345
 เดือนก่อน 536
 จำนวนผู้เข้าชม 476,781
  Your IP : 3.239.52.235