กลุ่มโรคที่มีความบกพร่องของกระบวนการเรียนรู้ Specific Learning Disorder (SLD)
Specific Learning Disorder (SLD) เป็นกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องของกระบวนการเรียนรู้โดย เกิดจากสมองทำงานผิดปกติ แสดงออกด้วยปัญหาด้านการ อ่านหนังสือ การเขียนสะกดคำ และการคำนวน ดังนั้น จึงเป็นปัญหาสำคัญในเด็ก วัยเรียน เพราะ เด็ก ต้องใช้ทักษะ เหล่านี้ ในการเรียนรู้
โรคนี้เจอได้ บ่อยแค่ไหน
ภาพรวมความชุกของ SLD ในเด็กวัยเรียนทั่วโลกประมาณการณ์อยู่ที่ 5-15% ของประชากรวัยเรียน โดยพบความบกพร่องด้านการอ่าน (dyslexia) บ่อยที่สุด ประมาณ 80% ของผู้ที่มี SLD เพศชายมีแนวโน้มได้รับการวินิจฉัยมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2-3 เท่า และมักพบว่าเด็กมี SLD หลายด้านร่วมกัน ส่วนความชุกของ SLD ในประเทศไทยพบประมาณ 6-10% ซึ่งใกล้เคียงกับรายงานของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพบความชุกของความผิดปกติในการอ่านร้อยละ 7 ความผิดปกติในการเขียนร้อยละ 4-6 และด้านคณิตศาสตร์ร้อยละ 5.8
1.พันธุกรรม การเรียนรู้บกพร่องเกิดจากปัจจัยด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน โดยพบว่าพ่อหรือแม่ที่มีภาวะบกพร่องด้านการอ่าน มีโอกาสที่ลูกจะเป็นโรค ร้อยละ 50 และในพี่น้องฝาแฝดพบภาวะบกพร่องการอ่าน ได้ถึงร้อยละ 60-80 นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น เศรษฐานะของครอบครัว จำนวนหนังสือในบ้าน และระยะเวลาการอ่านหนังสือพร้อมกับเด็ก
2.การทำงานของระบบประสาทและพัฒนาการ (neurocognitive function) พัฒนาการด้านภาษาไม่สมวัย ความจำไม่ดี การขาดทักษะในการบริหารจัดการทำให้เด็กมีปัญหาเมื่อต้องใช้ทักษะการเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้น
3.ผลกระทบต่อสมองของเด็กขณะอยู่ในครรภ์ และภาวะแทรกซ้อนช่วงปริกำเนิดและหลังเกิดเช่น การได้รับสารเสพติด แอลกอฮอล์ขณะอยู่ในครรภ์ หรือกลังเกิด น้ำหนักแรกเกิดน้อย เกิดก่อนกำหนด ขาดออกซิเจนเมื่อแรกเกิด หรือต้องรับการรักษาในห้ออภิบาลทานกแรกเกิดนานเกิน 24 ชั่วโมง
เกณฑ์การวินิจฉัยอ้างอิง ตามคู่มือการวินิจฉัยและสถิติเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิต ฉบับที่ 5 (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder –Fifth edition; DSM-5) มีดังนี้
1.มีความยากลำบากในการเรียน ซึ่งแสดงออกอย่างน้อย 1 ข้อ ต่อไปนี้ โดยความยากลำบากดังกล่าว เกิดขึ้นเป็นระยะเวลา อย่างน้อย 6 เดือน แม้ว่าจะได้รับการส่งเสริมทักษะด้านที่มีปัญหานั้นแล้ว
1.1.อ่านคำไม่ถูกต้องหรืออ่านไม่คล่อง และต้องใช้ความพยายามในการอ่าน เช่น อ่านผิด หรืออ่านได้ช้าและไม่มั่นใจ มักอ่านด้วยวิธีการเดาว่า ศัพท์คำนั้นอ่านว่าอย่างไร
1.2.ไม่เข้าใจความหมายของเรื่องที่อ่าน กล่าวคือแม้ว่าเด็กจะอ่านได้ถูกต้อง แต่ไม่สามารถเข้าใจลำดับเนื้อเรื่อง ความสัมพันธ์ สรุปใจความสำคัญ หรือความหมายเชิงลึกของเรื่องที่อ่าน
1.3.มีความยากลำบากในการสะกดคำ หรือ สะกดคำไม่ถูกต้อง
1.4.มีความยากลำบากในการเขียนบรรยาย เช่น ใช้ไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง หรือ ใช้เครื่องหมายวรรคตอนผิด เนื้อเรื่องที่เขียนไม่เป็นขั้นเป็นตอน ไม่สามารถเขียนถ่ายทอดความคิดให้คนอื่นเข้าใจ
1.5.มีความยากลำบากในการเรียนรู้เรื่องจำนวนหรือการคำนวนเลข เช่น ไม่เข้าใจเกี่ยวกับจำนวน ขนาด และความสัมพันธ์ ของจำนวนกับตัวเลข
1.6.มีความยากลำบากในการแก้ปัญหาโจทย์เลข
2.ความสามารถในการเรียนของเด็กต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างเห็นชัด และส่งผลกระทบต่อ การเรียน การทำงาน หรือการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยสามารถยืนยันด้วยการตรวจทางคลินิกและการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแบบทดสอบมาตรฐาน
หมายเหตุ: สำหรับผู้ที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป อาจใช้ประวัติผลการเรียนในอดีตแทนการทดสอบมาตรฐานได้
3.ความยากลำบากในการเรียน เริ่มปรากฎเมื่อเด็กอยู่ในวัยเรียน แต่ในเด็กบางรายอาจไม่แสดงอาการชัดเจน จนกระทั่งเมื่อเด็กจำเป็นต้องใช้ความสามารถที่บกพร่องนั้น เช่น ในช่วงสอบที่มีเวลาจำกัด เมื่อต้องอ่านหรือเขียนบทความที่มีความยาว และมีคำศัพท์ ที่ซับซ้อนในเวลาที่กำหนด
4.ความยากลำบากในการเรียนดังกล่าว ไม่สามารถอธิบายจากภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ปัญหาสายตาหรือการได้ยินบกพร่อง โรคทางจิตเวช ความผิดปกติของระบบประสาท ปัญหาทางจิตสังคม รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ไม่เหมาะสม หรือ การขาดโอกาสในการศึกษา
ความผิดปกติที่แสดงออกด้านการเรียน
1.ความบกพร่อง ด้านการอ่านหนังสือ (Reading Disorder หรือ Specific learning disorder with impairment in reading)
พบได้บ่อยที่สุด เป็นกลุ่มที่อ่านหนังสือไม่ได้ หรืออ่านลำบาก จำพยัญชนะไม่ได้ ผสมคำผิด สะกดคำไม่คล่อง อ่านตะกุกตะกัก จำคำศัพท์ได้น้อย อ่านช้า อ่านผิด และจับประเด็นในการอ่านไม่ได้ ความสามารถในการอ่านหนังสือโดยรวม ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างชัดเจน กระทบต่อการเรียนในห้องเรียน
2.ความบกพร่องด้านการเขียนหนังสือ (Writing Disorder หรือ Specific learning disorder with impairment in written) คือความบกพร่องของทักษะการเขียนตัวอักษร การสร้างคำ การสร้างประโยค การแปลงความคิดเป็นภาษาเขียน จนมีผลเสียต่อการเรียนรู้ แสดงออกได้หลายรูปแบบเช่น
-เขียนตัวอักษรผิด โดยเฉพาะอักษรที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น ร- ว , ด- ต , ถ-ภ
-เขียนตัวอักษร สลับด้าน สับสนหัว เข้าออก
-สะกดคำผิดบ่อย ๆ แม้เป็นคำง่าย ๆ
-เขียนตามคำอ่าน เช่น การบ้าน เขียนเป็น กานบ้าน
-มักเขียนประโยคสั้น ๆ ใช้คำง่าย ๆ ไม่มีรายละเอียด
-ไม่ค่อยจดงาน เวลา อยู่ในห้องเรียน
3.ความบกพร่องด้านการคำนวน (Mathematic Disorder)
เด็กมีปัญหาการเรียนคณิศาสตร์หลายรูปแบบ เช่น มีความสับสนเกี่ยวกับเรื่องตัวเลข ไม่เข้าใจเรื่องการบวก ลบ คูณ หาร ไม่สามารถแปลโจทย์ปัญหาเป็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ มีการคำนวนที่ผิดพลาดตกหล่นเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขเป็นประจำ ทำให้ไม่สามารถหาคำตอบได้ถูกต้องตามหลักคณิตศาสตร์
ปัญหาที่เด็ก มาพบแพทย์
1.ปัญหาการเรียน เช่น เรียนไม่ทัน สอบตก ทำงานไม่เสร็จ ไม่ค่อยส่งงาน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือผิด ๆ ถูก ๆ คิดเลขไม่ได้
2.ปัญหาพฤติกรรม เช่น ไม่ไปโรงเรียน โดดเรียน แยกตัว ไม่สุงสิงกับใคร ก้าวร้าว เกเร ในรายที่เป็นสมาธิสั้นร่วมด้วย เด็กจะไม่ค่อยมีสมาธิ ซุกซน อยู่ไม่นิ่ง รอคอยไม่ค่อยได้
3.ปัญหาอารมณ์และการปรับตัว เช่น เงียบ แยกตัว ไม่มั่นใจในตนเอง กลัว วิตกกังวล ซึมเศร้า
4.ปัญหาทางกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นใส้ อาเจียน
กระบวนการวินิจฉัย
1.ประเมินประวัติ
-ประวัติการเรียน ผลการสอบ รายงานโรงเรียน แฟ้มสะสมผลงาน สมุดงาน หรือสมุดการบ้าน
-ประวัติพัฒนาการ โดยเฉพาะภาษา การพูด การสื่อสาร
-โรคประจำตัว การรักษาที่ได้รับ
-ประวัติครอบครัว และความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
-ประวัติการใช้ภาษาถิ่น และภาษาที่ใช้ในการศึกษา
2.การตรวจร่างกายและการประเมินสภาพจิต
-การตรวจร่างกายตามระบบ เช่น สายตา การได้ยิน โรคทางกาย
-การตรวจสภาพจิต เช่น ประเมินการพูดการสื่อสาร การตอบคำถาม การเล่าเรื่อง ความเครียด การปรับตัว รวมทั้งประเมินทักษะการเรียนด้านการอ่าน การเขียน การคิดเลข
-แพทย์สามารถประเมินเบื้องต้น โดยใช้แบบเรียนภาษาไทยและคณิตศาสตร์ของกระทรวง-ศึกษาธิการตามระดับชั้นเรียนของเด็ก หากไม่สามารถอ่าน เขียน คำนวณได้ในระดับชั้นนั้น ๆ ให้ลดระดับลงมาทีละ 1 ชั้นเรียน
3.การตรวจทางจิตวิทยา
-การทดสอบระดับสติปัญญาโดยนักจิตวิทยา ด้วยแบบประเมิน Wechsler Intelligence Scale for Children- V (WISC –V) เพื่อทราบความสามารถทางสติปัญญา
-การทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยแบบทดสอบฉบับภาษาไทย (Wide Range Achievement test –Thai: WRAT-Thai) เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน ด้านการอ่าน การเขียน และการคำนวน ด้วยคำศัพท์ภาษาไทย ที่เป็นมาตรฐานของแต่ละระดับชั้น และมี
โรคที่พบร่วม
1.โรคสมาธิสั้น (ADHD : Attention Deficit Hyperactivity Disorder)
2.โรคบกพร่องด้านภาษา (Expressive Language Disorder , Mixed receptive expressive language disorder)
3.โรคบกพร่องการประสานงานของตา กล้ามเนื้อ มือ ขา (Motor skillsdisorder)
4.โรคทางอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า
5.ปัญหาพฤติกรรม ก้าวร้าว เกเร การใช้สารเสพติด
1.Early detection, early intervention สามารถทำได้โดยการติดตามเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารล่าช้า เด็กที่มีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ นอกจากนั้นเด็กที่มาพบแพทย์ด้วยปัญหาอื่นที่พบร่วมกับ SLD เช่น โรคสมาธิสั้น ปัญหาทางอารมณ์พฤติกรรม ควรได้รับการประเมินปัญหาการเรียนร่วมด้วย
2.ให้คำแนะนำพ่อแม่ ผู้ปกครองและครูเกี่ยวกับโรค SLD และข้อจำกัดทางการเรียนของเด็ก รวมทั้งทัศนคติต่อเด็กนั้นมีความสำคัญที่สุด เพราะจะทำให้เด็กได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ทำให้สามารถเรียนรู้ได้ตต่อไปภายใต้ข้อจำกัด
3.รักษาอาการทางจิตเวชที่พบร่วมกัน เช่น สมาธิสั้น
4.ค้นหาจุดเด่นและจุดด้อย พัฒนาความสามารถด้านต่าง ๆ เช่น กีฬา ดนตรี การทำกิจกรรม การช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน เพื่อเพิ่มความภาคภูมิใจในตัวเด็กทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน รวมทั้งให้กำลังใจเด็กเป็นระยะ ๆ
5.ปรับความสัมพันธ์ของบุคลในครอบครัว เนื่องจากพ่อแม่ส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลและตึงเครียด จากปัญหาการเรียนของเด็ก จึงควรมีเวลาให้พ่อแม่ระบายความรู้สึกคับข้องใจ เข้าใจปัญหาที่ถูกต้อง เปลี่ยนพฤติกรรมจากการตำหนิลงโทษมาเป็นความสนใจในการช่วยเหลือ ให้กำลังใจและชื่นชม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญให้เด็กมีแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้และประสบความสำเร็จ
6.ค้นหาวิธีเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีจุดอ่อน-จุดแข็งที่ไม่เหมือนกัน ใช้จุดแข็งหรือความถนัดของเด็กช่วยเสริมจุดอ่อน เช่น วาดภาพแล้วจึงเขียนคำศัพท์ง่าย ๆ ตามภาพ
7.บอกสิทธิ์ที่เด็กควรได้รับแก่ผู้ปกครอง เนื่องจาก SLD ถือเป็นความพิการชนิดหนึ่งที่เด็กต้องได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์และการศึกษาตามกฎหมาย โดยเด็กควรได้รับการจัดการเรียนการสอน ตามความสามารถ
8.ต้องมีการปรับระบบการเรียนการสอนที่เน้นการฟัง การเห็น การลงมือปฏิบัติมากกว่าจะได้รับความรู้ผ่านการอ่านหนังสือ โดยใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการเรียนรู้ เช่น เทปบันทึกเสียง วีดีโอ คอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข เป็นต้น เพื่อให้เด็กติดตามการเรียนในห้องได้
9.ประสานโรงเรียนเพื่อวางแผนช่วยเหลือให้ความรู้แก่ครูเรื่องโรค ผลกระทบที่เกิดขึ้นร่วมกับการติดตามอาการและความก้าวหน้าของเด็ก
เอกสารอ้างอิง
1.American Psychiatric Association. Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders. 5th ed. Washington, DC: Author; 2013.
2.สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย. ความบกพร่องทางการเรียนรู้และโรคที่พบร่วม Learning Disorders and Comorbidity. วินัดดา ปิยะศิลป์, สุธาทิพย์ วังตาล. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย 2558;60(4):287-96
3.เทิดพงศ์ ทองศรีราชม นิชรา เรืองดารกานนท์. การเรียนรู้บกพร่อง. ใน: สุรีย์ลักษณ์ สุจริตพงศ์, บรรณาธิการ. ตำราพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก เล่ม 4 พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัทพี.เอ.ลีฟวิ่ง จำกัด; 2563. หน้า 494-508.
4.พัฏ โรจน์มหามงคล. ภาวะการณ์เรียนรู้บกพร่องเฉพาะด้าน. ใน: วิฐารณ บุณสิทธิ, บรรณาธิการ. จิตเวชศาสตร์เด็กเเละวัยรุ่นในเวชปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: บริษัทพี.เอ.ลีฟวิ่ง จำกัด; 2564. หน้า 126–50.
5.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เลขา. แอลดี...ความบกพร่องทางการเรียนรู้ [อินเทอร์เน็ต]. Happy Home Clinic; 2022 ต.ค. 2 [เข้าถึงเมื่อ 2025 มิ.ย. 10]. เข้าถึงได้จาก: https://www.happyhomeclinic.com/sp04-ld.htm
6.กรมสุขภาพจิต. ภาวะบกพร่องทางการเรียน แนวทางการดูแลโรคทางจิตเวชเด็กและวัยรุ่น 4 โรคหลัก (สติปัญญาบกพร่อง ออทิสติก สมาธิสั้น แอลดี) สำหรับเครือข่ายบริการสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2557.
ผู้เขียน แพทย์หญิงปาฏิโมกข์ พรหมช่วย นายแพทย์เชี่ยวชาญ
Update : 13 มิ.ย. 2568