พลังรักน้ำนมแม่ปกป้องลูกน้อยห่างไกลโรค

รวบรวมข้อมูลโดย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและเทคโนโลยี

         สัญลักษณ์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือ การป้อนนมลูกจากอกแม่ เป็นภาพที่ดูอบอุ่นและยิ้มได้ทุกครั้งเมื่อพบเห็น แต่จะมีคุณแม่สักกี่คนที่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวได้นานอย่างน้อย 6 เดือน อาจด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย แต่หากทราบคุณประโยชน์อันมหาศาลของน้ำนมแม่แล้ว คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธการรวมพลังช่วยกันรณรงค์ให้เด็กไทยได้ดื่มนมแม่มากยิ่งขึ้น
          อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ประธานกรรมการจัดงานมูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า คนไทยทุกคนทราบดีว่านมแม่ดีที่สุด แต่จากผลสำรวจพบว่ามีคุณแม่ที่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน แค่ร้อยละ 12 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำมากเกือบที่สุดในโลกเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า น้ำนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรกมีประโยชน์กับลูกอย่างมาก เด็กกินนมแม่อย่างเดียวก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำและอาหารทดแทนอื่น ๆ เลย สาเหตุที่สถิติการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนต่ำ เพราะมีความเชื่อผิด ๆ ว่านมแม่ไม่เพียงพอ น้ำไม่พอ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในนมแม่มีน้ำมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามากพอที่จะทำให้เด็กอยู่ได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำเปล่า
            อีกสาเหตุที่เด็กไทยมีโอกาสดื่มนมแม่แค่ 1-2 เดือน เนื่องจากหลายสาเหตุ อันดับแรกคือการทำงานของผู้หญิงปัจจุบันที่ต้องทำงานนอกบ้านแตกต่างจากสมัยก่อน จึงคิดว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน หรือกลัวว่าลาคลอดแล้วลูกจะติดนมแม่เมื่อกลับไปทำงาน ที่สำคัญเกิดจากความเชื่อที่ว่านมผสมสามารถทดแทนนมแม่ได้ และอิทธิพลของการโฆษณาอาหารทดแทนนมแม่ ส่วนเหตุผลอื่น ๆ ได้แก่ คุณแม่ที่รักสวยรักงามกลัวเต้านมเสีย กลัวทรงหย่อนยาน รวมถึงคุณแม่ที่ทำศัลยกรรมเต้านม
          แต่อย่างไรก็ตามหากคุณแม่ทราบถึงสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในน้ำนมแม่ 5 ประการที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่นจะต้องเปลี่ยนใจ ได้แก่ ประการแรก คือ ในน้ำนมแม่มีสารอาหารที่ลูกต้องการอย่างครบถ้วน พอเหมาะและพอเพียง ซึ่งครบถ้วนหมายถึงในน้ำนมแม่มีสารอาหารทุกอย่างที่จะทำให้ลูกเจริญเติบโตตามวัย ส่วนคำว่าพอเหมาะและพอเพียงหมายถึงในน้ำนมแม่มีสารอาหาร เช่น โปรตีน ไขมัน วิตามินที่มีปริมาณที่พอเหมาะและพอเพียงไม่มากเกินไปสำหรับลูก
          ประการที่สอง คือ นมแม่มีวัคซีนหยดแรกของชีวิตที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูก หมายถึงในน้ำนมแม่มีสารตัวหนึ่งที่หลั่งออกมาในสัปดาห์แรกหลังคลอดเรียกว่า หัวน้ำนม (colostrum) เป็นน้ำนมหยดแรก ๆ ที่หลั่งออกมาใน 1 สัปดาห์แรกหลังคลอด หลังจากนั้นก็ไม่มีแล้ว ซึ่งหัวน้ำนมมีลักษณะใสๆ มีสีเหลือง คือ ยอดอาหารที่ลูกต้องได้รับเพราะเด็กจะได้สารอาหารครบถ้วนเพียงพอและไปสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้าโจมตีลูกถือเป็นเกราะกำบังไม่ให้ลูกติดเชื้อ เนื่องจากเด็กได้รับการคุ้มกันจากแม่เพราะอยู่ในท้องเชื้อโรคไม่สามารถเข้าไปได้ แต่พอคลอดออกมาข้างนอกมีเชื้อโรคในอากาศมากมาย ดังนั้นน้ำนมหยดแรกเป็นตัวบ่งบอกว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีภูมิคุ้มกันมากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ รวมทั้งมีโอกาสเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อน้อยกว่าด้วย
         ประการที่สาม ในน้ำนมแม่มีสารควบคุมการเจริญเติบโต เมื่อลูกกินเข้าไปแล้วจะทำให้มีอัตราการเจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพ ควบคุมไม่ให้อ้วนหรือผอมเกินไป จึงเป็นเด็กที่มีรูปร่างดี
          ประการที่สี่ ในน้ำนมแม่มีสารแห่งความรักผสมอยู่ เรียกว่า "Prolactin" และ "Oxytocin" ซึ่งสารสองตัวนี้มีเฉพาะในน้ำนมแม่เท่านั้น ถ้าลูกกินเข้าไปจะกระตุ้นให้ลูกรักแม่มีความผูกพันกับแม่ และในระหว่างที่แม่กอดลูกเพื่อให้นมลูกนั้นสารตัวนี้ยังจะช่วยกระตุ้นให้แม่รักลูกด้วย จึงเกิดเป็นสายสัมพันธ์ขึ้นมาทำให้มีความรักและความผูกพันระหว่างแม่กับลูก
          และ ประการที่ห้า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต้องโอบกอดลูกไว้แนบอก ทำให้ผิวแม่กับผิวลูกสัมผัสกัน ตาแม่มองตาลูก แม่เล่นกับลูกระหว่างลูกดูดนม เกิดเป็นความผูกพันที่เรียกว่า "Boiding" ซึ่งเด็กจะบันทึกไว้ในแถบความจำว่าแม่กำลังรักและกอดเค้าไว้ กลิ่นอายของแม่ส่งไปยังลูกอย่างลึกซึ้ง พอโตขึ้นเด็กที่กินนมแม่จะไม่มีนิสัยก้าวร้าว เข้าสังคมได้ง่าย มีความเอื้ออาทรและรู้จักแบ่งปัน
          หากในอนาคตประเทศไทยยังมีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่ำจะทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตไม่เต็มตามศักยภาพ มีภาวะโภชนาการที่ไม่สมวัย สติปัญญาของเด็กอาจจะด้อยกว่าที่เป็น มีการเจ็บป่วยบ่อย จึงถึงเวลาแล้วที่เด็กไทยต้องได้กินนมแม่ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดคุณภาพ ส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้อยลงไป มีผลต่อการพัฒนาประเทศไทยของเรา
          ดังนั้นแนวทางที่จะทำให้เด็กไทยได้กินนมแม่มากขึ้น คือย้อนไปดูสาเหตุที่เด็กไทยไม่ได้กินนมแม่ อันดับแรกคือคุณแม่ทำงานนอกบ้านสามารถลาคลอดได้ 3 เดือน แต่เราจะพยายามผลักดันให้เป็น 6 เดือนเหมือนประเทศอื่น ๆ เช่น เดนมาร์ก สวีเดน
          รวมทั้งให้คำแนะนำสถานประกอบการที่ผู้หญิงหลังคลอดแล้วกลับไปทำงานสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้หรือสามารถเตรียมนมแม่ไปให้ลูกกินที่บ้านได้ โดยสามารถทำได้สองแบบ คือสถานประกอบการสร้างสถานที่รับเลี้ยงเด็กเพื่อให้แม่เอาลูกไปฝากเลี้ยงและไปให้นมลูกช่วงเวลาว่าง ซึ่งหลายประเทศทำอย่างแพร่หลายแล้ว เช่น ญี่ปุ่น
          อีกแบบคือให้สถานประกอบการทำมุมนมแม่ เวลาแม่นั่งทำงานแล้วนมคัดก็สามารถไปบีบนมที่มุมนมแม่เพื่อใส่ภาชนะแช่ตู้เย็นไว้ พอเลิกงานก็นำกลับไปเก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้านเพื่อให้ลูกดื่มถือเป็นบทบาทหน้าที่ที่สำคัญของสถานประกอบการ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยมีแล้วหลายแห่ง อีกแนวทางคือสามีลางานไปช่วยภรรยาเลี้ยงดูลูกได้ ปัจจุบันทางราชการมีกฎหมายออกมาแล้วแต่เราจะทำอย่างไรให้ภาคธุรกิจให้ความร่วมมือด้วย
         ที่สำคัญที่สุด คือ ให้โรงพยาบาลของไทยมีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทั้งรัฐบาลและเอกชน เช่น หญิงที่ไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลควรแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และระหว่างคลอดที่โรงพยาบาลไม่แยกแม่กับลูกออกจากกัน
          สุดท้ายควรมีการรณรงค์ส่งเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตลอด ด้วยเหตุผลนี้เราจึงได้มีการจัดงาน เปิดตัวเครือข่าย "พลังรัก นมแม่" ครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน ในวันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 10.00-20.00 น. ณ เอ็มซีซีฮอลล์ ชั้น 4 เดอะมอลล์บางกะปิ ในงานพบกิจกรรมมากมาย อาทิ ตลาดนัดดารา เครือข่ายนมแม่ออนไลน์ เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันโภชนาการ การเสวนาให้ความรู้ เป็นต้น หากใครสนใจสามารถสอบถามข้อมูลงานได้ที่ โทร. 08-9435-5854
 
 
 ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 


 


  View : 4.36K


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง


 วันนี้ 385
 เมื่อวาน 1,828
 สัปดาห์นี้ 7,052
 สัปดาห์ก่อน 17,407
 เดือนนี้ 43,769
 เดือนก่อน 65,202
 จำนวนผู้เข้าชม 836,420
  Your IP : 18.227.48.131