รวบรวมข้อมูลโดย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและเทคโนโลยี
นั่นนะสิ กินวิตามินต้านเครียดได้ด้วยหรือ? ที่มาของวิตามินต้านเครียด เพราะความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เราพบว่า ความเครียดมีทั้งในระดับที่เปิดเผยตัวแบบที่เราเห็นและรู้สึก ได้ว่าเครียด กับเครียดแบบที่ตัวเราซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายนี้ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เพราะมันแทรกซึมอยู่ในเซลล์ของร่างกาย เราเรียกเก๋ ๆ ว่า “เครียดระดับเซลล์”
ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต้องเผชิญกับความเครียดที่แทรกซึมผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากงาน ครอบครัว ความรัก เศรษฐกิจ ซึ่งเราสังเกตรู้ได้จากปัญหาที่เข้ามาสัมผัสจิตใจ แต่ยังมีความเครียดอีกประเภทหนึ่ง ที่แทรกซึมในทุก ๆ วันเช่นกัน แต่เราไม่รู้เลยว่ามันคือความเครียด นั่นคือ ความเครียดที่เกิดกับทุกเซลล์ของร่างกาย และไม่ได้มาในรูปแบบที่เราจะรู้ได้ แต่มากับอาหารการกิน การใช้ชีวิต การออกกำลังกาย การเจ็บป่วย เป็นต้น อาหารจำพวกแป้ง หวานจัด หรือมีไขมันสูง, มลพิษในอากาศ, ความ เครียด,พักผ่อนไม่เพียงพอ,สูบบุหรี่, ดื่มเหล้า เหล่านี้จัดเป็นสารอนุมูลอิสระ และก่อให้เกิดความเครียดระดับเซลล์ได้ เราเรียก“ขบวนการอักเสบ”ซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตา และไม่มีอาการ แต่เมื่อมันเกิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนเกิดความเสื่อมของเซลล์หรืออวัยวะสำคัญของร่างกาย เราจะเริ่มมีอาการของความเสื่อม โดยแม้แต่ตัวเราก็ไม่รู้ว่านั่นหมายถึง ความเสื่อม หรือเรียกภาษาชาวบ้านคือ ความแก่ นั่นเอง
เรามักเข้าใจว่าความแก่ คือ เหี่ยวย่น หย่อนยาน ไม่สวย ไม่หล่อ ซึ่งถือว่าน่าหงุดหงิดแล้ว ความเสื่อมในร่างกายน่าหงุดหงิดกว่า เพราะนั่นหมายถึงศักยภาพในทุกด้านของเรา ลดลง ได้แก่
- นอนหลับยาก ไม่หลับสนิทเหมือนเดิม
- ตื่นยาก ยังอยากนอนต่อ แต่จำเป็นต้องตื่นมาทำงานด้วยอารมณ์หงุดหงิดทุกเช้า
- มาทำงานอย่างมึน หนัก ๆ หัว นึกอะไรไม่ค่อยออก เหมือนสมองตัน ๆ รำคาญตัวเองที่สุด!
- ปวดเมื่อยไหล่ หลัง ราวกับมีใครมานั่งทับไหล่
- ตอบสนองสิ่งกระตุ้นได้ช้า ไม่กระตือรือร้นจะทำอะไรทั้งนั้น
- ซึมเศร้า อารมณ์ทางเพศหดหาย
- รูปร่างเปลี่ยน อุดมไปด้วยเซลลูไลท์
- ผิวพรรณเหี่ยวเร็ว หย่อนคล้อยง่าย
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดตีบ,โรคเบาหวาน เป็นต้น
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราจึงต้องมาขจัดความเครียดระดับเซลล์กัน ต้องเริ่มจัดการกับต้นเหตุ นั่นคือ“มาแอนตี้สารอนุมูลอิสระกัน”ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ลดเครียดเสียบ้าง (ค่อย ๆ ปรับ รู้ทันจิตเรา เชื่อสิ ท่านทำได้)
- พักผ่อนให้เพียงพอ&ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3วัน
- รับประทานอาหารให้สมดุลครบทั้ง5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง,ของหวานไขมันสูง, ของทอดน้ำมันดำ,น้ำหวาน, ชา กาแฟ, สุรา หรือสูบหรี่
- สำหรับ วัยทำงาน หรืองานที่ต้องรับผิดชอบ ใช้ความคิด ควรเน้นรับประทานอาหารที่ช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช ไข่ ผักสีเขียวสด และถั่ว ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน B
- เนื่องจากการทำงานภายใต้การแข่งขันและกดดัน ทำให้เราไม่มีเวลาจัดหาอาหารที่ต้องการได้สมบูรณ์และครบถ้วน แถมยังลดความเครียดได้ยาก ปัจจุบัน การรับประทานวิตามินเสริมจึงเป็นตัวช่วยเมื่อสมองต้องรับมือกับความเครียด พระเอกของวิตามินบำรุงสมอง คือ ตระกูลวิตามิน B ซึ่งทำงานร่วมกับพรรคพวก ดังนี้
- กองทัพวิตามิน B ไม่ว่าจะเป็น B1, B2, B3, B5, B6, B12 ทำงานร่วมกันในการบำรุงความคิดและสติปัญญา ช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ บรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Biotin และกรดโฟลิกพบว่า มีประสิทธิ ภาพในการต่อสู้กับภาวะเครียดได้ดี จากการศึกษาของ สถาบันสุขภาพแห่งมหาวิทยาลัย แมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา พบว่ากองทัพวิตามิน Bทำงานร่วมกันในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต จากอาหารเป็นน้ำตาล เพื่อสร้างพลังงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับภาวะเครียด ซึ่งร่างกายต้องการน้ำตาลมากขึ้นจนบางครั้งมีการเรียกวิตามิน B เป็น “วิตามินต้านเครียด”
- Biotin และ กรดโฟลิกมีบทบาทช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ ควบคุมการตึงตัวของกล้ามเนื้อซึ่งพบปัญหากล้ามเนื้อท้ายทอย คอ และไหล่ตึงตัวเสมอเมื่อความเครียดมาเยือน จึงช่วยให้มีความต้านทานต่อความเครียดได้ดีมีรายงานในวารสารทางการแพทย์British Journal of Psychiatryพบการขาดวิตามินบี วิตามินซี หรือ กรดโฟลิก ในผู้ที่มีปัญหาทางอารมณ์ ทำให้เราเข้าใจถึงบทบาทของวิตามินเหล่านี้ในการต้านเครียดมากขึ้น
- Magnesium ช่วยในการทำงานของสมอง ซ่อมแซมและคงสภาพของเซลล์ร่างกายและช่วยคลายเครียด
- สังกะสี นอกจากจำเป็นสำหรับสมองและระบบประสาทแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับวิตามินซี ซึ่งร่างกายต้องการมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญขณะเครียดด้วยเราทุกคนล้วนปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานหนักในปัจจุบัน ก็เพื่อให้ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่ทางสู่ความสำเร็จก็ต้องอาศัยความมานะบากบั่นที่มาพร้อม ๆ กับความเครียด ถ้าไม่ดูแลสุขภาพ และปล่อยให้ความเครียดทำร้ายเราเสียก่อน ก็ไปไม่ถึงความสำเร็จเช่นกัน ดังนั้น จะทำงานหนักเพียงใด ก็อย่าลืมหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ รับประทานอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ เพื่อจะได้มีพลังในการทำงานต่อไป
ข้อมูลจาก แพทย์หญิงธิศรา วีรสมัย หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท 1
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/article/356427