รวบรวมข้อมูลโดย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและเทคโนโลยี
กระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้ปกครองระวังเด็กจมน้ำเสียชีวิต ช่วงปิดเทอม ข้อมูลในรอบ 11 ปี ตั้งแต่ 2546-2556 พบเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยวันละเกือบ 4 คน เฉพาะในช่วง 3 เดือนมีนาคม-พฤษภาคม มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตสูงถึง 442 คน เผยเด็กไทยว่ายน้ำเอาชีวิตรอดได้แค่ร้อยละ 4
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในช่วงปิดเทอมเดือนมีนาคม-พฤษภาคม เป็นช่วงอากาศร้อน เด็ก ๆ มักนิยมไปเล่นน้ำเพื่อคลายร้อน ทำให้พบสถิติการจมน้ำมากที่สุด ข้อมูลในรอบ 11 ปี ตั้งแต่ 2546-2556 พบเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้วถึง 15,495 คน เฉลี่ยปีละ 1,291 คน หรือวันละเกือบ 4 คน เฉพาะในช่วง 3 เดือนอันตรายซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมคือมีนาคม-พฤษภาคม มีเด็กเสียชีวิตจากตกน้ำ จมน้ำ สูงถึง 442 คน โดยกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จะมีสัดส่วนการเสียชีวิตจากการตกน้ำ จมน้ำสูงถึงร้อยละ 30 แหล่งน้ำที่พบบ่อยประมาณร้อยละ 50 คือ แหล่งน้ำธรรมชาติ หนองน้ำ คลองชลประทาน อ่างเก็บน้ำ รองลงมาคือสระว่ายน้ำ พบร้อยละ 5 และอ่างอาบน้ำร้อยละ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่มีจำนวนการจมน้ำสูงสุด รองลงมาเป็นภาคกลาง ภาคใต้ และภาคเหนือ ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงต่อการจมน้ำตายในเด็กและผู้ใหญ่มีความแตกต่างกัน โดยในกลุ่มเด็กเล็กมีความสัมพันธ์กับการดูแลของผู้ดูแลเด็ก ส่วนในเด็กโตมีความสัมพันธ์กับการเล่นน้ำ
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประชาชนไทยประมาณร้อยละ 42 ยังมองเรื่องการตกน้ำจมน้ำเสียชีวิตว่าเป็นเรื่องของเคราะห์กรรม ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น การตกน้ำจมน้ำเป็นเรื่องที่ช่วยกันป้องกันได้ ดังนั้น ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก อย่าปล่อยเด็กเล่นน้ำตามลำพัง แม้ว่าจะเป็นแหล่งน้ำใกล้บ้านหรือแหล่งน้ำที่คุ้นเคยก็ตาม ควรให้ความรู้เด็ก ควรสร้างรั้วล้อมรอบแหล่งน้ำและติดป้ายคำเตือน รวมทั้งการจัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำไว้บริเวณแหล่งน้ำ ส่วนในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ปกครองอย่าปล่อยให้เด็กอยู่ลำพังแม้เสี้ยวนาที ต้องมองเห็น เข้าถึงและคว้าถึงง่าย เพราะเด็กวัยนี้จมน้ำง่าย เนื่องจากเด็กเล็กยังทรงตัวไม่ดี ยังไม่มีความพร้อมในการป้องกันตนเอง จึงจมน้ำได้ง่าย แม้แหล่งน้ำมีน้ำเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่ในถังหรือกะละมังที่มีน้ำเพียง 1-2 นิ้วก็ตาม ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดประชาสัมพันธ์ย้ำเตือนผู้ปกครอง และเตรียมทีมแพทย์ให้การช่วยเหลือ หากพบเห็นผู้จมน้ำสามารถโทรแจ้งขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในปี 2556 สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินผลการว่ายน้ำเป็นของเด็กไทย อายุ 5-14 ปี ซึ่งมีกว่า 8 ล้านคน พบว่าเด็กว่ายน้ำเป็นเพียงร้อยละ 24 หรือประมาณ 2 ล้านคน แต่สามารถว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดได้เพียงร้อยละ 4 หรือ 367,704 คน โดยเด็กที่เรียนหลักสูตรว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด จะมีทักษะการเอาชีวิตรอดในน้ำสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนถึง 21 เท่าตัว และมีทักษะการช่วยเหลือคนตกน้ำ/จมน้ำ สามารถแก้ไขปัญหาและการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนถึง 3 เท่าตัว ดังนั้นการเรียนว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นมาตรการหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันการจมน้ำได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเรียน
การที่มีผู้จมน้ำเสียชีวิตมาก ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการช่วยเหลือผิดวิธี ทั้งในน้ำและหลังช่วยขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะการคิดว่าการอุ้มพาดบ่าและกระแทกเอาน้ำออกเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ซึ่งในความจริง เป็นวิธีที่ผิด เนื่องจากจะทำให้ผู้จมน้ำขาดอากาศหายใจนานขึ้น แต่ควรรีบเป่าปากและนวดหัวใจ เพื่อให้หายใจได้เร็วที่สุด ถ้าพบว่าหายใจเองได้หรือหายใจเองได้แล้ว ให้จับผู้จมน้ำให้นอนตะแคง ให้ศีรษะหงายไปข้างหลัง เพื่อให้น้ำไหลออกทางปาก และใช้ผ้าห่มคลุมตัวผู้ป่วย เพื่อให้ความอบอุ่น งดน้ำและอาหาร และรีบส่งผู้ที่จมน้ำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
เมื่อพบคนตกน้ำต้องไม่กระโดดลงไปช่วย แม้จะว่ายน้ำเป็น เพราะอาจจะถูกกอดรัดและจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกันได้ ให้ยึดหลัก 3 อย่างคือ 1.ตะโกน คือการเรียกให้คนมาช่วย และโทรแจ้งทีมแพทย์กู้ชีพ 1669 2.โยนอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อช่วยคนตกน้ำเกาะจับพยุงตัว เช่น เชือก ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า ขวดน้ำพลาสติกเปล่า หรือวัสดุที่ลอยน้ำได้ โดยโยนครั้งละหลายๆ ชิ้น 3.ยื่นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวให้คนตกน้ำจับ เช่น ไม้ ผ้าขาวม้า ให้คนตกน้ำจับและดึงขึ้นมาจากน้ำ.
สำนักข่าวไทย